ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร ?


        อย่าสับสน! ระหว่างคำว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสกับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค  คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นเป็นแค่ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภท
หนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้าย ๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรคที่สามารถแพร่เชื้อได ้ และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่า
คอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น  ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต  เราลองมาดูรายละเอียดกันหน่อยดีไหม เกี่ยวกับตัวไวรัสคอมพิวเตอร์นี้
ลองติดตามดู
        ไวรัสคืออะไร

        ไวรัส  คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้  และถ้ามีโอกาสก็สามารถ
แทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่าน
ระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูลไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน
        การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายถึงว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากไวรัสก็เป็น
แค่โปรแกรม  ๆ  หนึ่งการที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกให้ทำงานได้นั้นยังขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัส
แต่ละตัวปกติผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวว่าได้ทำการปลุกคอมพิวเตอร์ไวรัสขึ้นมาทำงานแล้ว
        จุดประสงค์ของการทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับตัวผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่นอาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือ ข้อมูลอื่น ๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ แสดงข้อความวิ่งไปมาบน หน้าจอ เป็นต้น

        ประเภทของไวรัส

        1. บูตเซกเตอร์ไวรัส

         Boot Sector Viruses  หรือ Boot Infector  Viruses  คือไวรัสที่เก็บตัวเองอยู่ในบูตเซกเตอร์ ของดิสก์การใช้งานของบูต
เซกเตอร์คือเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มทำงานขึ้นมาตอนแรก  เครื่องจะเข้าไปอ่านบูตเซกเตอร์  โดยในบูตเซกเตอร์จะมีโปรแกรมเล็ก ๆ ไว้
้ใช้ในการเรียกระบบปฎิบัติการขึ้นมาทำงานอีกทีหนึ่ง   บูตเซกเตอร์ไวรัสจะเข้าไปแทนที่โปรแกรมดังกล่าว   และไวรัสประเภทนี้ถ้าไปติด
อยู่ในฮาร์ดดิสก์ โดยทั่วไป จะเข้าไปอยู่บริเวณที่เรียกว่า Master Boot Sector หรือ Parition Table ของฮาร์ดดิสก์นั้น
         ถ้าบูตเซกเตอร์ของดิสก์ใดมีไวรัสประเภทนี้ติดอยู่ ทุก ๆ ครั้งที่บูตเครื่องขึ้นมาโดย พยายามเรียก ดอสจากดิสก์นี้ ตัวโปรแกรมไวรัส    จะทำงานก่อน   และจะเข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำเพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำงานตามที่ได้ถูกโปรแกรมมา  แล้วตัวไวรัสจึงค่อยไปเรียก ดอสให้ขึ้นมาทำงานต่อไป ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

         2. โปรแกรมไวรัส

         Program  Viruses  หรือ  File  Intector  Viruses เป็นไวรัสอีกประเภทหนึ่งที่จะติดอยู่กับโปรแกรม  ซึ่งปกติก็คือ ไฟล์ที่มี นามสกุลเป็น COM หรือ EXE และบางไวรัสสามารถเข้าไปติดอยู่ในโปรแกรมที่มีนามสกุลเป็น sys และโปรแกรมประเภท Overlay Programs ได้ด้วย  โปรแกรมโอเวอร์เลย์ปกติจะเป็นไฟล์ที่มีนามสกุลที่ขึ้นต้นด้วย  OV  วิธีการที่ไวรัสใช้เพื่อที่จะ เข้าไปติดโปรแกรม
มีอยู่สองวิธี  คือ  การแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ในโปรแกรม     ผลก็คือหลังจากที่โปรแกรมนั้นติดไวรัสไปแล้วขนาดของโปรแกรมจะใหญ่ขึ้น
หรืออาจมีการสำเนาตัวเองเข้าไปทับส่วนของโปรแกรมที่มีอยู่เดิมดังนั้นขนาดของโปรแกรมจะไม่เปลี่ยนและยากที่ จะซ่อมให้กลับเป็นดัง
เดิมการทำงานของไวรัส  โดยทั่วไป  คือ  เมื่อมีการเรียกโปรแกรมที่ติดไวรัส ส่วนของไวรัสจะทำงานก่อนและจะถือโอกาสนี้ฝังตัวเข้าไป
อยู่ในหน่วยความจำทันทีแล้วจึงค่อยให้ โปรแกรมนั้นทำงานตามปกติต่อไป เมื่อไวรัสเข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำแล้ว   หลังจากนี้ไป
ถ้ามีการเรียกโปรแกรมอื่น ๆ ขึ้นมาทำงานต่อ ตัวไวรัสก็จะสำเนาตัวเองเข้าไป ในโปรแกรมเหล่านี้ทันที เป็นการแพร่ระบาดต่อไป
        วิธีการแพร่ระบาดของโปรแกรมไวรัสอีกแบบหนึ่ง  คือเมื่อมีการเรียกโปรแกรมที่มีไวรัสติดอยู่ ตัวไวรัสจะเข้าไปหาโปรแกรมอื่น ๆ
ที่อยู่ในดิสก์เพื่อทำสำเนาตัวเองลงไปทันทีแล้วจึงค่อยให้โปรแกรมที่ถูกเรียก นั้นทำงานตามปกติต่อไป
        3. ม้าโทรจัน

         ม้าโทรจัน  (Trojan Horse)   เป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาให้ทำตัวเหมือนว่าเป็นโปรแกรมธรรมดาทั่ว ๆ ไปเพื่อหลอกล่อผู้ใช้
ให้ทำการเรียก ขึ้นมาทำงาน แต่เมื่อ ถูกเรียกขึ้นมาแล้วก็จะเริ่มทำลายตามที่โปรแกรมมาทันที ม้าโทรจันบางตัวถูกเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งชุด
โดยคนเขียนจะทำการตั้งชื่อโปรแกรมพร้อมชื่อรุ่นและคำอธิบายการใช้งานที่ดูสมจริง เพื่อหลอกให้คนที่จะเรียกใช้ตายใจ                               จุดประสงค์ของคนเขียนม้าโทรจันอาจจะเช่นเดียวกับคนเขียนไวรัส   คือ  เข้าไปทำอันตรายต่อข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่องหรืออาจมีจุด ประสงค์เพื่อที่จะล้วงเอาความลับของระบบ คอมพิวเตอร์         
          ม้าโทรจันนี้อาจจะถือว่าไม่ใช่ไวรัส เพราะเป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาโดด ๆ และจะไม่มีการเข้าไปติดในโปรแกรมอื่นเพื่อสำเนา     ตัวเองแต่จะใช้ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้เป็นตัวแพร่ระบาดซอฟต์แวร์ที่มีม้าโทรจันอยู่ในนั้น       และนับว่าเป็นหนึ่งในประเภทของ โปรแกรมที่มีความอันตรายสูง      เพราะยากที่จะตรวจสอบและสร้างขึ้นมาได้ง่ายซึ่งอาจใช้แค่แบตซ์ไฟล์ก็สามารถโปรแกรมประเภทม้า โทรจันได้

         4. โพลีมอร์ฟิกไวรัส

          Polymorphic Viruses เป็นชื่อที่ใช้ในการเรียกไวรัสที่มีความสามารถในการแปรเปลี่ยนตัวเองได้เมื่อมีสร้างสำเนาตัวเองเกิด     ขึ้นซึ่งอาจได้หถึงหลายร้อยรูปแบบ ผลก็คือ ทำให้ไวรัสเหล่านี้ยากต่อการถูกตรวจจับ โดยโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใช้วิธีการสแกนอย่าง เดียวไวรัสใหม่ ๆ ในปัจจุบันที่มีความสามารถนี้เริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

        5. สทีลต์ไวรัส

           Stealth Viruses  เป็นชื่อเรียกไวรัสที่มีความสามารถในการพรางตัวต่อการตรวจจับได้ เช่น ไฟล์อินเฟกเตอร์ ไวรัสประเภทที่ ไปติดโปรแกรมใดแล้วจะทำให้ขนาดของ   โปรแกรมนั้นใหญ่ขึ้น ถ้าโปรแกรมไวรัสนั้นเป็นแบบสทีลต์ไวรัส  จะไม่สามารถตรวจดูขนาด ที่แท้จริง ของโปรแกรมที่เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากตัว  ไวรัสจะเข้าไปควบคุมดอส เมื่อมีการใช้คำสั่ง  DIR  หรือโปรแกรมใดก็ตามเพื่อตรวจ ดูขนาดของโปรแกรม ดอสก็จะแสดงขนาดเหมือนเดิมทุกอย่างราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

        อาการของเครื่องที่ติดไวรัส

          สามารถสังเกตุการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้อาจเป็นไปได้ว่ามีไวรัสเข้าไปติดอยู่ในเครื่องแล้วอาการที่ว่า  นั้นได้แก่
               - ใช้เวลานานผิดปกติในการเรียกโปรแกรมขึ้นมาทำงาน
               - ขนาดของโปรแกรมใหญ่ขึ้น
               - วันเวลาของโปรแกรมเปลี่ยนไป
               - ข้อความที่ปกติไม่ค่อยได้เห็นกลับถูกแสดงขึ้นมาบ่อย ๆ
               - เกิดอักษรหรือข้อความประหลาดบนหน้าจอ
               - เครื่องส่งเสียงออกทางลำโพงโดยไม่ได้เกิดจากโปรแกรมที่ใช้อยู่
               - แป้นพิมพ์ทำงานผิดปกติหรือไม่ทำงานเลย
               - ขนาดของหน่วยความจำที่เหลือลดน้อยกว่าปกติ โดยหาเหตุผลไม่ได้
               - ไฟล์แสดงสถานะการทำงานของดิสก์ติดค้างนานกว่าที่เคยเป็น
               - ไฟล์ข้อมูลหรือโปรแกรมที่เคยใช้อยู่ ๆ ก็หายไป
               - เครื่องทำงานช้าลง
               - เครื่องบูตตัวเองโดยไม่ได้สั่ง
               - ระบบหยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ
               - เซกเตอร์ที่เสียมีจำนวนเพิ่มขึ้นโดยมีการรายงานว่าจำนวนเซกเตอร์ที่เสียมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนโดยที่
                 ยังไม่ได้ใช้โปรแกรมใดเข้าไปตรวจหาเลย

        การตรวจหาไวรัส

       1. การสแกน

          โปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใช้วิธีการสแกน (Scanning)  เรียกว่า สแกนเนอร์ (Scanner)  โดยจะมีการดึงเอาโปรแกรมบางส่วน ของตัวไวรัสมาเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล ส่วนที่ดึงมานั้นเราเรียกว่า  ไวรัสซิกเนเจอร ์ (VirusSignature)   และเมื่อสแกนเนอร์ถูกเรียกขึ้นมา    ทำงานก็จะเข้าตรวจหาไวรัสในหน่วยความจำ บูตเซกเตอร์และไฟล์โดยใช้ ไวรัสซิกเนเจอร์ที่มีอยู่   ข้อดีของวิธีการนี้ก็คือเราสามารถตรวจ สอบซอฟแวร์ที่มาใหม่ได้ทันทีเลยว่าติดไวรัสหรือไม่   เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสถูกเรียกขึ้นมาทำงานตั้งแต่เริ่มแรก แต่วิธีนี้มีจุดอ่อนอยู่หลาย ข้อคือ
          - ฐานข้อมูลที่เก็บไวรัสซิกเนเจอร์จะต้องทันสมัยอยู่เสมอ  และครอบคลุมไวรัสทุกตัวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะสแกนเนอร์จะไม่ สามารถตรวจจับไวรัสที่ยังไม่มี ซิกเนเจอร์ของไวรัสนั้นเก็บอยู่ในฐานข้อมูลได้ยากที่จะตรวจจับไวรัสประเภทโพลีมอร์ฟิก   เนื่องจากไวรัส ประเภทนี้เปลี่ยนแปลง ตัวเองได้ จึงทำให้ไวรัสซิกเนเจอร์ที่ใช้สามารถนำมาตรวจสอบได้ก่อนที่ไวรัส จะเปลี่ยนตัวเองเท่านั้น
          - ถ้ามีไวรัสประเภทสทีลต์ไวรัสติดอยู่ในเครื่องตัวสแกนเนอร์อาจจะไม่สามารถตรวจหาไวรัสนี้ได้     ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดและ เทคนิคที่ใช้ของตัวไวรัสและ ของตัวสแกนเนอร์เองว่าใครเก่งกว่า เนื่องจากไวรัสมีตัวใหม่  ๆ  ออกมาอยู่เสมอ  ๆ  ผู้ใช้จึงจำเป็นจะต้องหา สแกนเนอร์ตัวที่ใหม่ที่สุดมาใช้มีไวรัสบางตัวจะเข้าไปติดในโปรแกรมทันทีที่โปรแกรมนั้นถูกอ่าน        และถ้าสมมติว่าสแกนเนอร์ที่ใช้ไม่ สามารถตรวจจับได้ และถ้าเครื่องมีไวรัสนี้ติดอยู่ เมื่อมีการเรียกสแกนเนอร์ขึ้นมาทำงาน  สแกนเนอร์จะเข้าไปอ่านโปรแกรมทีละโปรแกรม เพื่อตรวจสอบ    ผลก็คือจะทำให้ไวรัสตัวนี้เข้าไปติดอยู่ในโปรแกรมทุกตัวที่ถูกสแกนเนอร์นั้นอ่านได ้    สแกนเนอร์รายงานผิดพลาดได้คือ    ไวรัสซิกเนเจอร์ที่ใช้บังเอิญไปตรงกับที่มีอยู่ในโปรแกรมธรรมดาที่ไม่ได้ติดไวรัส ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในกรณีที่ไวรัสซิกเนเจอร์ที่ใช้มีขนาดสั้น
ไปก็จะทำให้โปรแกรมดังกล่าวใช้งานไม่ได้อีกต่อไป

       2. การตรวจการเปลี่ยนแปลง

ิ          การตรวจการเปลี่ยนแปลง คือ การหาค่าพิเศษอย่างหนึ่งที่เรียกว่า เช็คซัม (Checksum) ซึ่งเกิดจากการนำเอาชุดคำสั่งและข้อมูล    ที่อยู่ในโปรแกรมมาคำนวณ หรืออาจใช้ข้อมูลอื่น ๆ ของไฟล์ ได้แก่ แอตริบิวต์  วันและเวลา  เข้ามารวมในการคำนวณด้วยเนื่องจากทุกสิ่ง ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคำสั่งหรือข้อมูลที่อยู่ในโปรแกรมจะถูกแทนด้วยรหัสเลขฐานสอง    เราจึงสามารถนำเอาตัวเลขเหล่านี้มาผ่านขั้นตอน การคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้ ซึ่งวิธีการคำนวณเพื่อหาค่าเช็คซัมนี้มีหลายแบบ   และมีระดับการตรวจสอบแตกต่างกันออกไปเมื่อตัวโปร    แกรมภายในเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าไวรัสนั้นจะใช้วิธีการแทรกหรือเขียนทับก็ตาม เลขที่ได้จากการคำนวณครั้งใหม่ จะเปลี่ยนไปจากที่ คำนวณได้ก่อนหน้านี้
         ข้อดีของการตรวจการเปลี่ยนแปลงก็คือ   สามารถตรวจจับไวรัสใหม่ ๆ  ได้และยังมีความสามารถในการตรวจจับไวรัสประเภทโพลี ีมอร์ฟิกไวรัสได้อีกด้วย         แต่ก็ยังยากสำหรับสทีลต์ไวรัสทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดของโปรแกรมตรวจหาไวรัสเองด้วยว่าจะสามารถถูก หลอกโดยไวรัสประเภทนี้ได้หรือไม่ และมีวิธีการตรวจการเปลี่ยนแปลงนี้จะตรวจจับไวรัสได้ก็ต่อเมื่อไวรัสได้เข้าไปติดอยู่ในเครื่องแล้วเท่า
นั้น และค่อนข้างเสี่ยงในกรณีที่เริ่มมีการคำนวณหาค่าเช็คซัมเป็นครั้งแรก เครื่องที่ใช้ต้องแน่ใจว่าบริสุทธิ์พอ คือต้องไม่มีโปรแกรมใด ๆ
ติดไวรัสมิฉะนั้นค่าที่หาได้จากการคำนวณที่รวมตัวไวรัสเข้าไปด้วย ซึ่งจะลำบากภายหลังในการที่จะตรวจหาไวรัสตัวนี้ต่อไป

       การเฝ้าด

         เพื่อที่จะให้โปรแกรมตรวจจับไวรัสสามารถเฝ้าดูการทำงานของเครื่องได้ตลอดเวลานั้น   จึงได้มีโปรแกรมตรวจจับไวรัสที่ถูกสร้าง    ขึ้นมาเป็นโปรแกรมแบบเรซิเดนท์หรือ ดีไวซ์ไดรเวอร์ โดยเทคนิคของการเฝ้าดูนั้นอาจใช้วิธีการสแกนหรือตรวจการเปลี่ยนแปลงหรือ ทั้ง สองแบบรวมกันก็ได้
        การทำงานโดยทั่วไปก็คือ
       เมื่อซอฟแวร์ตรวจจับไวรัสที่ใช้วิธีนี้ถูกเรียกขึ้นมาทำงานก็จะเข้าไปตรวจในหน่วยความจำของเครื่องก่อนว่า มีไวรัสติดอยู่หรือไม่โดย ใช้ไวรัสซิกเนเจอร์ ที่มีอยู่ในฐานข้อมูล จากนั้นจึงค่อยนำตัวเองเข้าไปฝังอยู่ในหน่วยความจำ   และต่อไปถ้ามีการเรียกโปรแกรมใดขึ้นมาใช้
งานโปรแกรมเฝ้าดูนี้ก็จะเข้าไปตรวจโปรแกรมนั้นก่อน  โดยใช้เทคนิคการสแกนหรือตรวจการเปลี่ยนแปลงเพื่อหาไวรัส ถ้าไม่มีปัญหา ก็จะ อนุญาตให้โปรแกรมนั้นขึ้นมาทำงานได้  นอกจากนี้โปรแกรมตรวจจับไวรัสบางตัวยังสามารถตรวจสอบขณะที่มีการคัดลอกไฟล์ได้อีกด้วย
ข้อดีของวิธีนี้คือ    เมื่อมีการเรียกโปรแกรมใดขึ้นมาโปรแกรมนั้นจะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้งโดยอัตโนมัติ ซึ่งถ้าเป็นการใช้สแกนเนอร์  จะ สามารถทราบได้ว่าโปรแกรมใดติดไวรัสอยู่ก็ต่อเมื่อทำการเรียกสแกนเนอร์นั้นขึ้นมาทำงานก่อนเท่านั้น
         ข้อเสียของโปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูก็คือ จะมีเวลาที่เสียไปสำหรับการตรวจหาไวรัสก่อนทุกครั้งและเนื่องจากเป็นโปรแกรมแบบเรซิเดนท์   หรือดีไวซ์ไดรเวอร์จึงจำเป็นจะต้องใช้ หน่วยความจำ   ส่วนหนึ่งของเครื่องตลอดเวลาเพื่อทำงาน ทำให้หน่วยความจำในเครื่องเหลือน้อยลง    และเช่นเดียวกับสแกนเนอร์  ก็คือ จำเป็นจะต้องมีการปรับปรุง ฐานข้อมูลของไวรัสซิกเนเจอร์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ

         คำแนะนำและการป้องกันไวรัส

              - สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
              - สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
              - ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
              - อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
              - เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
              - เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วง ๆ
              -  เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
              - เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
              - สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
              - เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสขึ้นมาทำงานได้
              - เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

        การกำจัดไวรัส

            เมื่อแน่ใจว่าเครื่องติดไวรัสแล้วให้ทำการแก้ไขด้วยความใคร่ครวญและระมัดระวังอย่างมากเพราะบางครั้งตัวคนแก้เองจะเป็นตัว ทำลายมากกว่าตัวไวรัสจริง ๆ เสียอีก การฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ใหม่อีกครั้งก็ไม่ใช่ วิธีที่ดีที่สุดเสมอไปยิ่งแย่ไปกว่านั้นถ้าทำไปโดยยังไม่ได้มี การสำรองข้อมูลขึ้นมาก่อน การแก้ไขนั้นถ้าผู้ใช้มีความรู้เกี่ยวกับไวรัสที่ กำลังติดอยู่ว่าเป็นประเภทใดก็จะช่วยได้อย่างมากและข้อเสนอแนะ ต่อไปนี้อาจจะมีประโยชน์ต่อท่าน

       บูตเครื่องใหม่ทันทีที่ทราบว่าเครื่องติดไวรัส

         เมื่อทราบว่าเครื่องติดไวรัส ให้ทำการบูตเครื่องใหม่ทันที โดยเรียกดอสขึ้นมาทำงานจากฟลอปปีดิสก์ที่ได้เตรียมไว้ เพราะถ้าไปเรียก ดอสจากฮาร์ดดิสก์ เป็นไปได้ว่า ตัวไวรัสอาจกลับเข้าไปในหน่วยความจำได้อีก  เมื่อเสร็จขั้นตอนการเรียกดอสแล้ว ห้ามเรียกโปรแกรมใด ๆ
ก็ตามในดิสก์ที่ติดไวรัส เพราะไม่ทราบว่าโปรแกรมใดบ้างที่มีไวรัสติดอยู่

       เรียกโปรแกรมจัดการไวรัสขั้นมาตรวจหาและทำลาย

         ให้เรียกโปรแกรมตรวจจับไวรัส เพื่อตรวจสอบดูว่ามีโปรแกรมใดบ้างติดไวรัส ถ้าโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใช้อยู่สามารถกำจัดไวรัส รัสตัวที่พบได้ ก็ให้ลองทำดู แต่ก่อนหน้านี้ให้ทำการคัดลอกเพื่อสำรองโปรแกรมที่ติดไวรัสไปเสียก่อน   โดยโปรแกรมจัดการไวรัสบางโปร แกรมสามารถสั่งให้ทำสำรองโปรแกรมที่ติดไวรัสไปเป็นอีกชื่อหนึ่งก่อนที่จะกำจัดไวรัส เช่น MSAV ของดอสเอง เป็นต้น
         การทำสำรองก็เพราะว่า เมื่อไวรัสถูกกำจัดออกจากโปรแกรมไป      โปรแกรมนั้นอาจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติหรือทำงานไม่ได้ เลยก็เป็นไปได้ วิธีการตรวจขั้นต้นคือ  ให้ลองเปรียบเทียบขนาดของโปรแกรมหลังจากที่ถูกกำจัดไวรัสไป แล้วกับขนาดเดิม ถ้ามีขนาดน้อย กว่า แสดงว่าไม่สำเร็จหากเป็นเช่นนั้นให้เอาโปรแกรมที่ติดไวรัสที่สำรองไว้ แล้วหาโปรแกรมจัดการ    ไวรัสตัวอื่นมาใช้แทนแต่ถ้ามีขนาด มากกว่าหรือเท่ากับของเดิม เป็นไปได้ว่าการกำจัดไวรัสอาจสำเร็จ   โดยอาจลองเรียกโปรแกรมตรวจหาไวรัสเพื่อทดสอบโปรแกรมอีกครั้ง
         หากผลการตรวจสอบออกมาว่าปลอดเชื้อ
ก็ให้ลองเรียกโปรแกรมที่ถูกกำจัดไวรัสไปนั้นขึ้นมาทดสอบการทำงานดูอย่างละเอียดว่าเป็นปกติดีอยู่หรือไม่อีกครั้ง ในช่วงดังกล่าวควรเก็บ โปรแกรมนี้ที่สำรองไปขณะที่ติดไวรัสอยู่ไว้ เผื่อว่าภายหลังพบว่าโปรแกรมทำงานไม่เป็นไปตามปกติ ก็สามารถลองเรียกโปรแกรมจัดการ ไวรัสตัวอื่นขึ้นมากำจัดต่อไปได้ในภายหลัง แต่ถ้าแน่ใจว่าโปรแกรมทำงานเป็นปกติดี ก็ทำการลบโปรแกรมสำรองที่ยังติดไวรัสติดอยู่ทิ้งไป ทันทีเป็นการป้องกันไม่ให้มีการเรียกขึ้นมาใช้งานภายหลังเพราะความบังเอิญได้